"การศึกษา" อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังถูก disruption ถ้าปรับตัวไม่ทันสังคมที่เปลี่ยนไป การศึกษา-สถาบันการศึกษาจะต้องเผชิญกับความพังทลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แก่นแกนของระบบนิเวศทางสังคมยุคใหม่ ที่ทำให้การศึกษากำลังถูก disruption มี 5 ประเด็นดังนี้คือ
1. การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทค โนโลยีทำให้ผู้คนเข้าถึงความรู้ได้หลากหลาย ไร้กาลเวลา ไร้พรมแดน ไร้ขีดจำกัดทางกายภาพ สามารถจัดการความซับซ้อนของข้อมูล สร้างการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพกว่าการเรียนในชั้นเรียนหลายเท่า ซึ่งเกิดจากพัฒนาการของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) / อัลกอริทึ่มในระบบบิ๊กดาต้า / ภาพถ่ายสามมิติ / จนถึงหุ่นยนต์ ฯลฯ
2. การสื่อสารที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ ช่วยเชื่อมต่อให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเข้าถึงความต้องการของตนได้อย่างสะดวกรวดเร็วแบบไร้ต้นทุน หรือต้นทุนต่ำมากๆ
3. ค่านิยมทางสังคมเปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่ไม่ยึดติดกับปริญญาบัตรที่เคยเป็นความน่าเชิดชูทางสังคมอีกต่อไป ชีวิตยุคใหม่ต้องการตอบโจทย์การใช้ชีวิตและคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นตัวของตัวเอง มากกว่าจะยอมให้ตัวเองจมอยู่ในค่านิยมที่คนรุ่นก่อนหล่อหลอมยัดเยียด!
4. อาชีพยุคใหม่ต้องผูกติดกับ "มาตรฐานวิชาชีพ" ทั้งในอาชีพทั่วไปและแบบเฉพาะทาง ซึ่งเป็นเส้นทางการเติบโตที่มีอนาคต! มาตรฐานแต่ละงาน-แต่ละอุตสาหกรรมที่กำหนดขึ้นนั้น มีความซับซ้อนเชิงวิชาชีพตามแบบของโลกยุคใหม่
5. โครงสร้างเศรษฐกิจเคลื่อนจาก "เศรษฐกิจฐานทรัพยากรและแรงงาน" สู่ "เศรษฐกิจฐานความรู้" การมีทักษะต่อเทคโนโลยีใหม่หรือการยกระดับทักษะเดิมให้สูงขึ้น รวมทั้งการปรับทักษะให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีในแต่ละประเภทงาน จึงจำเป็นมากกว่าใบปริญญา!
พื้นฐานสำคัญ 5 ประการนี้ ทำให้การศึกษาในโลกเก่ากำลังถูก disruption ถ้าไม่ปรับตัวตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงที่โลกยุคใหม่ต้องการ!
การศึกษาต้องปรับตัวใน 10 เรื่องด้วยกันคือ
1) สถาบันการศึกษาต้องปรับจาก "โรงเรียนสอนหนังสือ" ที่เคยชินมาสู่การเป็น "องค์กรแห่งการเรียนรู้" ที่สนับสนุนให้ผู้เรียนเชื่อมต่อกับโลกแห่งความจริง-โลกเสมือนจริงให้เกิดการเรียนรู้ได้หลากหลายมิติ
2) บทบาทครู อาจารย์ ผู้สอน ต้องปรับจากการเป็นผู้กำกับชี้นำ สู่การเป็น "โค้ช" "ผู้อำนวยความสะดวกให้เกิดการเรียนรู้" ช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงแหล่งความรู้ช่วยชี้แนะร่วมเรียนรู้ไปกับผู้เรียนในทุกมิติ
3) กระบวนการการเรียนการสอนต้องมีลักษณะขององค์กรแห่งการเรียนรู้ แทนการเป็นห้องเรียนสี่เหลี่ยมคับแคบไร้ชีวิตชีวา
4) การเรียนเพื่อสร้างวิชาชีพสู่การมีอาชีพต้องร่วมงานกับอุตสาหกรรมแต่ละกลุ่ม เพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ที่เชื่อมทฤษฎีกับภาคปฏิบัติอย่างสมดุล พร้อมสร้างและพัฒนาทักษะให้ตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมแต่ละกลุ่ม สถานศึกษาต้องไม่โดดเดี่ยวตัวเองเช่นที่ผ่านมา!
5) พื้นฐานสำคัญ 3 เรื่องที่ต้องจัดปรับในระบบการศึกษาพื้นฐานคือ การสื่อสารและภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ที่มีบทบาทสูงในโลกทุกวันนี้ / สองการเรียนด้าน STEM / และสามการเรียน Coding ที่จะช่วยให้เด็กคุ้นกับเทคโนโลยี การคิด และการสื่อสารที่เป็นพื้นฐานสำคัญของโลกยุคใหม่
6) การจัดการศึกษาในระดับอาชีวะและอุดมศึกษา ต้องคำนึงถึงมาตรฐานวิชาชีพตามระดับชั้นและแต่ละระดับกลุ่มทักษะ เพื่อสร้างหลักประกันคุณภาพให้ผู้เรียนให้มีคุณภาพมีหลักประกันการมีงานทำ
7) สถานศึกษาจะต้องร่วมมือกับหลายภาคส่วน หลายหน่วยงาน ทั้งรัฐ-เอกชนธุรกิจ เพื่อทบทวนการจัดการเรียนการสอนให้ทันสมัย พร้อมที่จะปรับตัวทันความก้าวหน้าเท่าทันเปลี่ยนแปลงในสังคมและวิชาชีพต่างๆ อยู่เสมอ
8) สถานศึกษายุคใหม่ต้องมีองค์กรพันธมิตรระดับสากล ที่จะช่วยกระตุ้นยกระดับการศึกษาให้ได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการมีงานทำ-การยอมรับต่อสถาบันเองและผลผลิตของสถาบัน
9) ต้องปรับการบริหารจัดการ-การบริการการศึกษาใหม่สู่ระบบ Credit Bank และการศึกษาตลอดชีพ และมีหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นเพื่อพัฒนากลุ่มทักษะใหม่ ยกระดับทักษะ และเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้ยุคใหม่
10) ต้องมีระบบการพัฒนาจัดปรับวิธีคิด-ทัศนคติทางการศึกษาให้กับครู บุคลากร และผู้เรียนในสถาบันให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงยุคใหม่ที่รวดเร็ว ต่อเนื่องรุนแรง ให้สามารถปรับวิธีคิดและทัศนคติที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
นี่คือมิติสำคัญที่สถาบันและระบบการศึกษาต้องทบทวน เพื่อเร่งปรับตัวในกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะถูกอนาคตไล่ล่า...กลืนกิน!
ที่มา: คอลัมน์โลกใบใหม่: 10 เรื่องสำคัญ...ที่การศึกษายุคใหม่ต้องทำ, หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์; อภิชาต ทองอยู่